สวัสดีครับเพื่อนๆผู้ป่วย ผู้ดูแล และ ผู้สนใจทั่วไปทุกท่าน ผมขอสรุปภาพรวมโดยย่อของการประชุม ALAN Global Summit ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวัน ที่ 5 ถึง 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ที่แฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมนี) มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 40 คน จากกว่า 35 ประเทศที่เข้าร่วมงานด้วยตนเอง

DAY1: วันแรก
ต้อนรับและแนะนำโดย Zack Pemberton-Whiteley ประธาน ALAN เริ่มด้วยการขอให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนแนะนำตัวเองและองค์กร/ชมรมฯที่เราสังกัดอยู่
จากนั้น Prof. Philippe Rousselot จากฝรั่งเศสได้นำเสนอเนื้อหาที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ ALL ตั้งแต่พื้นฐานของโรคและอาการไปจนถึงความซับซ้อนของแนวทางการรักษา และยังแบ่งปันความก้าวหน้าที่น่าสนใจและมีแนวโน้มที่ดีอีกด้วย
จากนั้นเราได้พูดคุยเกี่ยวกับวันมะเร็งเม็ดเลือดขาวโลก และแคมเปญ #BeLeukemiaAware แซคและซาแมนธาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญของวันแห่งการตระหนักรู้และแผนการสำหรับวันที่4กันยายน เราหารือเกี่ยวกับทรัพยากรที่มีอยู่ แต่ยังรวมถึงทรัพยากรใหม่ที่กำลังจะมาถึงด้วย เรายังระดมความคิดระหว่าง “สโนว์บอลไฟต์” เกี่ยวกับไอเดียและสิ่งที่สมาชิกอยากเห็นในอนาคต!
ผมขอจบสรุปภาพรวมโดยย่อของการประชุมวันแรกเพียงเท่านี้ และคอยติดตามของ DAY2 ได้เร็วๆนี้นะครับ
*** หลังจากจบสรุปภาพรวมโดยย่อครบทั้ง 3 วันแล้ว ผมจะนำข้อมูลที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้นำเสนอข้อมูลของโรค ALL และ AML ที่สำคัญๆ ที่ผมพอจะสรุปได้มาโพสไว้เป็นตอนๆในโอกาสต่อๆไป***
สรุปภาพรวมโดยย่อของการประชุม ALAN Global Summit 2023
DAY2:

วันที่สองเริ่มต้นด้วยเซสชั่นทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML โดย Prof. Giovanni Marconi นำเสนอภาพรวมของโรค AML และการเจาะลึกแนวการรักษาและการวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่
จากนั้นเราเข้าสู่หัวข้อการจัดการทางการเงินกับ Jan Geissler ซึ่งให้คำแนะนำและตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมแก่เรา
ในช่วงบ่ายเรามีการสนทนากลุ่มที่มีชีวิตชีวาต่างๆ เราเริ่มต้นด้วยการอภิปรายบนโต๊ะตามด้วยการอภิปรายที่ดูแลโดย Dr. Tamas Bereczky ในหัวข้อของการทำความเข้าใจและการสะท้อนถึงทิศทางที่เป็นไปได้ในอนาคตของการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการพัฒนายา จากนั้นเราแบ่งออกเป็นกลุ่มระดับภูมิภาคเพื่อหารือเกี่ยวกับการเข้าถึง ประเด็นทางคลินิก องค์กรและการปฏิบัติและแนวทางแก้ไขในภูมิภาคต่างๆ
***หลังจบสรุปภาพรวมโดยย่อครบ 3 วันแล้ว ผมจะนำเอาข้อมูลเกี่ยวกับโรค AML และ ALL ที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้นำเสนอไว้ มาสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญๆมาโพสเป็นตอนๆตาอไป***
Cr: เจ้าของภาพ
สรุปภาพรวมโดยย่อของการประชุม ALAN Global Summit 2023
DAY3
วันสุดท้ายเริ่มต้นด้วยเซสชันที่อุทิศให้กับระบบนิเวศด้านการดูแลสุขภาพและการจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นำโดย Tamas Bereczky
แซคและซาแมนธากล่าวปิดงาน ALAN Global Summit โดยให้ภาพรวมคร่าวๆ เกี่ยวกับแผนของ ALAN ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และกล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมทุกคนอย่างอบอุ่น เป็นเหตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง และทุกคนที่เกี่ยวข้องได้แสดงความรักและความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องที่มีต่อชุมชนมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
จบแล้วนะครับการสรุปภาพรวมโดยย่อของการประชุมครั้งนี้ ทั้ง 3 วัน และ ต่อไป ผมจะนำข้อมูลเกี่ยวกับโรค ALL และ AML โดยเฉพาะหัวข้อสำคัญๆที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้นำเสนอในที่ประชุม มาเขียนโพสไว้เป็นตอนๆ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย ผู้ดูแล และ ผู้สนใจทั่วไป อย่าลืมติดตามอ่านกันนะครับ
Cr: เจ้าของภาพ #ALAN
สวัสดีครับเพื่อนๆผู้ป่วย ผู้ดูแล และผู้สนใจทั่วไป ตามที่ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้ หลังการสรุปภาพรวมโดยย่อของการประชุม ALAN Global Summit 2023 ครบทั้ง 3 วันแล้ว ผมจะค่อยๆทยอย โพสข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันทั้ง ALL และ AML ที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้นำเสนอในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งผมขอเริ่มตอนแรกด้วยโรค ALL ก่อนนะครับ
ตอนที่1: What is ALL? และ Causes of ALL

มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia หรือ ลิวคีเมีย) เป็นมะเร็งของไขกระดูก มีหลายชนิด แต่แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ มะเร็งเม็ดเลือดขาวกลุ่มลิมโฟซิติค (Lymphocytic leukemia) และมะเร็งเม็ดเลือดขาวกลุ่มมัยอีโลจีนัส (Myelogenous leukemia) ซึ่งมะเร็งเม็ดเลือดขาวทั้งสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มยังแบ่งเป็น ชนิดเฉียบพลัน (Acute) และชนิดเรื้อรัง (Chronic)
ในที่นี้ จะกล่าวถึงเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาวลิมโฟซิติคชนิดเฉียบพลัน ที่เรียกทางแพทย์ว่า Acute Lymphoblastic Leukemia แต่นิยมเรียกชื่อย่อของโรค คือ โรค ALL
มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL คืออะไร?
มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL เป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวตัวอ่อนจากไขกระดูก มากกว่าปกติอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติได้ และยังลดการสร้างเม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดลงอีกด้วย ดังนั้น อาการของโรคจึงเกิดจากความผิดปกติของทั้งเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด
มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL มักพบในใคร?
มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL เป็นมะเร็งที่พบมากในเด็ก (เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของเด็ก ประมาณ 70% ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กทั้งหมด) โดยพบในเด็กชายมากกว่าในเด็ก หญิง ทั้งนี้ โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ ทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ แต่พบได้บ่อยที่สุด คือ ช่วงอายุ 2-5 ปี
อะไรเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL?
สาเหตุเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL ยังไม่ทราบ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL ในเด็ก ที่สำคัญ แบ่งได้เป็น 3 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ
ปัจจัยทางกรรมพันธุ์
ในฝาแฝดที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอล โดยเฉพาะเป็นโรคตั้งแต่อายุยังน้อย จะทำให้อีกคนหนึ่งมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ 25%
ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าเด็กทั่วๆไป 2-4 เท่า
เด็กที่มีความผิดปกติของโครโมโซม (ลักษณะทางพันธุกรรม) เช่น เด็กที่เป็นโรค Down’s syndrome มีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอลสูงกว่าเด็กทั่วๆไป 15 เท่า
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม
ได้รับรังสีไอออนไนซ์ (Ionizing radiation เป็นรังสีใช้ในการตรวจและรักษาโรค)ปริมาณสูง เช่น เด็กที่ได้รับรังสีนี้ขณะอยู่ในครรภ์ จากการตรวจโรคของมารดา
รังสีจากสารกัมมันตรังสีที่ได้รับในปริมาณที่ไม่ถึงกับทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น
กับหน่วยพันธุกรรมของเซลล์ไขกระดูก เมื่อเวลาผ่านไป 5-10 ปี ความเสียหายบางอย่างอาจขยายตัวขึ้น ทำให้มีโอกาสเป็นมะ เร็งเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ได้ เช่น ได้รับรังสีจากระเบิดปรมาณูในขณะที่อยู่ในครรภ์ เพราะพบผู้ป่วยมากขึ้นหลัง จากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการใช้ระเบิดปรมาณู
อาจจากได้รับสารเคมีต่างๆที่เป็นพิษจากสิ่งแวดล้อม ถึงแม้การศึกษายังระบุชนิดไม่ได้ชัดเจน รวมทั้งอาจจากควันบุหรี่
เด็กที่เป็นมะเร็งและได้รับยาเคมีบำบัด และรอดชีวิตเกินกว่า 2 ปี จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอลได้สูงกว่าเด็กทั่วๆไป 14 เท่า
ปัจจัยจากภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง
ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่องแต่กำเนิด มีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอลได้สูงกว่าเด็กทั่วๆไป
ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันได้สูงกว่าเด็กทั่วๆไป
ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr Virus หรือ EBV) หรือ ไว รัส เอชไอวี(HIV) มีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอลได้สูงกว่า
ส่วนสาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL ในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถระบุได้เช่นกัน และมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการพัฒนาของโรคคล้ายๆกันกับในเด็ก ดังนี้
พบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย
ได้รับรังสีในระดับสูงเช่น รังสีจากเหตุการระเบิดนิวเคลีย
ได้รับสารเคมี เช่น เบนซิน แต่พบได้น้อยมาก
การสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งถึง 15 ชนิดรวมถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ลักษณะทางพันธุกรรม เช่น โรค Down’s syndrome
Cr: the owner of data and image
สรุปประเด็นสำคัญของการประชุม ALAN Global Summit 2023
ตอน 2 : Signs and Symptoms of ALL

มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL มีอาการอย่างไรบ้าง?
อาการทั่วๆไป ที่พบบ่อย คือ ไข้ โดยไม่รู้สาเหตุ เป็นได้ทั้งไข้สูงและไข้ต่ำ แ ต่มักเป็นไข้สูง อ่อนเพลีย ซีด เบื่ออาหารน้ำหนักลด ปวดข้อ, ปวดกระดูก
อาการที่เกิดจากการทำงานของไขกระดูกผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการที่เซลล์มะเร็งไปเบียดบังและขัดขวางการสร้างเม็ดเลือดปกติอื่นๆภายในไขกระดูก (เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวปกติ และเกล็ดเลือด)
มีภาวะซีด ทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย ซีด หน้ามืด เวียนศีรษะ และหัวใจเต้นเร็ว
มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้ ติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย เพราะเม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ให้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้ผู้ป่วยมีเลือดออกผิดปกติ ที่ผิวหนังเป็นจุดแดงเล็ก ๆคล้ายในไข้เลือดออก กระจายได้ทั่วตัว หรือเป็นจ้ำเลือด/ห้อเลือด ซึ่งมักเกิดง่ายกว่าปกติ มีเลือดออกตามไรฟัน บางรายอาจมีเลือดออกตามเยื่อบุต่างๆ หรือในอวัยวะภายใน หรือ เกิดเลือดกำเดาบ่อย ทั้งนี้เพราะเกล็ดเลือดมีหน้าที่ช่วยการแข็งตัวของเลือด และป้องกันเลือดออกง่ายผิดปกติ
อาการเกิดจากมีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว แพร่กระจายไปสะสมในระบบน้ำ เหลืองของร่างกาย เช่น
ต่อมน้ำเหลืองโตตามบริเวณต่างๆในร่างกาย
ตับและม้ามโต คลำได้ (ปกติจะคลำไม่ได้)
อาการที่เกิดจากมีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว แพร่กระจายไปสะสมในอวัยวะต่างๆอื่นๆนอกเหนือจากในระบบน้ำเหลือง เช่น
สมอง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง ชักกระตุก เดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือในบางรายอาจมีอาการกินมากขึ้น อ้วนและเกิด
ปอด อาจทำให้มีลักษณะคล้ายกับการอักเสบติดเชื้อของปอด (มีไข้ ไอ หอบ เหนื่อย)
อนึ่ง อาการสำคัญที่พบได้บ่อยและทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ คือ อาการซีด มีไข้สูง เลือดออกตามอวัยวะต่างๆ เช่น เหงือก และมีเลือดกำเดา ปวดข้อ ปวดกระดูกจนเดินไม่สะดวก มีก้อนที่คอหรือในท้อง อาการเหล่านี้จะมีมาเป็นสัปดาห์ หรือ อาจเป็นเดือน และอาจพบอาการอื่นๆร่วมด้วยได้ คือ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผอมลง และท้องโตขึ้นจากมี ตับ และม้ามโต
CR: The owner of Data and Image.
สรุปประเด็นสำคัญของการประชุม ALAN Global Summit 2023
ตอน 3 : Pediatric-inspired protocols
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL อย่างไร?

ในการดูแลรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL นั้นต้องพิจารณาจากหลายๆปัจจัยร่วมกัน เช่น สภาพร่างกายทั่วๆไปของผู้ป่วย ปัจจัยต่อความรุนแรงของโรค ความร่วมมือของผู้ดูแลในการนำผู้ป่วยมาตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยการดูแลรักษาผู้ป่วยนั้น แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
- การรักษาประคับประคอง เป็นการรักษาที่มีความสำคัญอย่างมากตั้งแต่ระยะแรก เพราะช่วงแรกที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยนั้น ผู้ป่วยมักมีความผิดปกติหลายอย่าง เช่น ซีด อ่อนเพลีย อาจมีเลือดออก มีไข้สูง มีอาการของโรคติดเชื้อ หายใจลำบาก ขาดน้ำ และ/หรือ มีการทำงานของไตผิดปกติ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการรักษาภาวะวิกฤตต่างๆเหล่า นี้ให้ผู้ป่วยมีสภาพร่างกายที่พร้อมก่อนการส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมที่จะให้การรักษาโรคนี้ต่อไป เพราะการให้ยาเคมีบำบัดในระยะแรกนี้ ทำให้เกิดผลกระทบจากฤทธิ์ของยาได้หลายอย่างและอาจรุนแรง
- การรักษาจำเพาะ เป็นการรักษาที่ใช้ยาเคมีบำบัดเป็นหลัก โดยมีการให้ยาเคมีบำบัดที่ประกอบด้วยยาหลายชนิด ให้ในขนาดและเวลาต่างๆกัน ซึ่งการรักษาโรคนี้ แบ่งได้เป็น 4 ระยะ (ทุกระยะเป็นการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดชนิดต่างๆ มีทั้งฉีดเข้าหลอดเลือดดำ กิน และฉีดเข้าทางน้ำไขสันหลัง) คือ
- ระยะชักนำให้โรคสงบ (Induction of Remission) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งให้มากที่สุดในเวลาอันรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ไขกระดูกสามารถกลับมาสร้างเซลล์เม็ดเลือดปกติได้เหมือนเดิม
- ระยะรักษาเข้มข้น (Intensification or Consolidation Therapy) เป็นการให้ยาเคมีบำบัดอย่างเข้มข้นเพื่อป้องกันการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ดื้อต่อยาเคมีบำบัด
- ระยะป้องกันเกิดโรคในสมอง (CNS Prophylaxis or Pre symptomatic CNS Therapy) เพื่อป้องกันการเกิดโรคในตำแหน่งที่ยาเคมีบำบัดเข้าถึงได้ยาก คือ สมองนั่นเอง ซึ่ง อาจเป็นการฉายรังสีบริเวณสมอง และ/หรือ ยาเคมีบำบัด ร่วมกับให้ยาเคมีบำบัดทางน้ำไขสันหลัง ทั้งนี้ขึ้นกับแต่ละโรงพยาบาล
- ระยะรักษาเพื่อควบคุมให้โรคสงบตลอดไป (Maintenance Therapy) ด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ให้สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง (ที่อาจยังหลงเหลืออยู่) ให้มากที่สุด หลังจากที่ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะโรคสงบแล้ว
อนึ่ง ในผู้ป่วยที่โรคอยู่ในภาวะสงบแล้วหลังให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดจนครบ จะพบ ว่ามีประมาณ 30-35% ของผู้ป่วยมีโอกาสย้อนกลับเป็นโรคอีก โดยส่วนใหญ่(85%)เกิดขึ้นที่ไขกระดูก (บางรายเกิดขึ้นที่สมองร่วมด้วย) ประมาณ 15% เกิดในสมอง และประมาณ 5% เกิดในอัณฑะ ซึ่งการรักษาจะแตกต่างกัน ดังนี้
โรคกลับเป็นใหม่ในไขกระดูก อาจพิจารณาให้ยาเคมีบำบัดอีกครั้ง ร่วมกับอาจพิจารณาทำการปลูกถ่ายไขกระดูก
โรคกลับเป็นใหม่ในสมอง อาจพิจารณาให้ยาเคมีบำบัดเข้าทางน้ำไขสันหลังร่วม กับการพิจาณาให้การฉายรังสีที่ศีรษะ และอาจครอบคลุมไขสันหลัง ในผู้ป่วยที่ยังไม่เคยได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีมาก่อน
โรคกลับเป็นใหม่ที่ลูกอัณฑะ อาจพิจารณาให้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการฉายรังสีบริเวณลูกอัณฑะทั้ง 2 ข้าง
Cr: The owner of data and image.
สรุปประเด็นสำคัญของการประชุม ALAN Global Summit 2023
ตอน 4 : Pediatric protocols in Adolescents and young adults (AYAs)
Prof. Philippe Rousselot ได้นำเสนอ การศึกษา เกี่ยวกับผลการรักษาของผู้ป่วย ALL วัยรุ่น และ วัยหนุ่มสาว อายุประมาณ 16-45 ปี ใน 3 ช่วง เริ่มตั้งแต่ ปี 2005 – 2014 พบว่า จากการศึกษาล่าสุด อัตรา การรอดชีพโดยรวม ของ ผู้ป่วย สูงขึ้น จากช่วงที่ 1 และ 2 จาก 72% ที่ 2 ปี เพิ่มเป็น 78% ที่ 5 ปี
และ เมื่อมาลองดู ผลการศึกษาของผู้ป่วย ALL ของโรงพยาบาลหนึ่งของประเทศไทยเรา ที่ได้ทำไว้เมื่อหลายปีแล้ว จาก ผู้ป่วยทั้งหมด 53 ราย ส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี เพศชายมากกว่าเพศหญิง1.1 เท่า พบชนิด pre-B cell ALL มากที่สุด ร้อยละ 86.8 อัตราการรอดชีพรวม ร้อยละ 72.6 relapse rate ร้อยละ 13.2, ผู้ป่วยเสียชีวิต ร้อยละ 24.5, ผู้ป่วยที่มีระดับความเสี่ยงมาตรฐานมีอัตรารอดชีพที่ 3 ปีดีที่สุด ตามด้วยระดับความเสี่ยงสูงและสูงมาก ที่ร้อยละ 79.4, 76.4 และ 42.9 ตามลำดับ
CR: the owner of data and image.
สรุปประเด็นสำคัญของการประชุม ALAN Global Summit 2023
ตอน 5 : How to eradicate MRD?

เราจะกำจัด จำนวนเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ ได้อย่างไร
- ด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก เมื่อถึงภาวะโรคสงบในครั้งแรกเลย ( เป็นวิธีแบบเก่าไหม ?)
- ด้วยการใช้การรักษาทางเลือกต่างๆ (ตามด้วยการปลูกถ่ายด้วยไหม?)
- การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดอื่นๆ เช่น ยา Blinatumomab เป็นยาที่ใช้รักษา Philadelphia chromosome-negative relapsed / refractory B precursor ALL, Inotuzumab ozogamicin เป็นโมโนโคลนอล แอนติบอดี ใช้ในการรักษาโรคที่กลับมาหรือไม่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด, CAR T-cells เป็นเทคนิคการรักษา โดยแพทย์จะเก็บเซลล์ T-cell จากเลือดของผู้ป่วย เพื่อนำไปปรับแต่งเซลล์ในห้องปฏิบัติการจนได้ออกมาเป็น Chimeric Antigen Receptor (CAR) ที่สามารถตรวจจับเซลล์มะเร็งได้
- การใช้ยาอื่น ๆ เช่น ยาโคลฟาราบีน (Clofarabine) เป็นสารประกอบที่มีฤทธิ์รบกวนการสร้างพันธุกรรม DNA และ RNA จากสาร Purine จัดเป็นยาประเภท Purine nucleoside antimetabolite , ยา Nelarabine เป็นยารักษาโรคมะเร็งที่รบกวนการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งในร่างกาย
- การใช้ยามุ่งเป้า ในกลุ่มย่อยที่เฉพาะเจาะจง เช่น ยา TKIs เป็นยากลุ่มที่ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ชื่อ ไทโรซีน ไคเนส เพื่อลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง, Menin inhibitors เป็นยากลุ่มที่ยับยั้ง the PPI between menin and histone-lysine-N-methyltransferase 2A (KMT2A), Precision Medicine การรักษาแบบแม่นยำและจำเพาะ โดยอาศัยข้อมูลทางพันธุกรรมหรือข้อมูลในระดับโมเลกุล
CR: the owner of data and image.
สรุปประเด็นสำคัญของการประชุม ALAN Global Summit 2023
ตอน 6 : บทสรุปของประเด็นสำคัญของโรค ALL

ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้สรุปถึง ประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นได้ของการใช้ยาใหม่ๆที่ไม่ใช่ยาคีโมในแผนการรักษาลำดับแรกของโรค ALL ดังนี้
ประโยชน์ด้านความปลอดภัย
- สามารถลดขนาดยาที่ใช้ และ จำนวนรอบของการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดที่เสี่ยงต่อความเป็นพิษของเซลล์
- ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและการกดไขกระดูก ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติ ลดภาวะแทรกซ้อน และ ลดการเสียชีวิต
- ลดความจำเป็นของการปลูกถ่ายไขกระดูกในช่วงภาวะโรคสงบครั้งแรก ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนของการปลูกถ่ายไขกระดูก
ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพ
- อาจช่วยเอาชนะการพยากรณ์ของโรคที่ไม่ดีในอดีตที่ผ่านมา
- เพิ่มอัตราการตอบสนองโดยรวมและ อัตราของจำนวนเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ให้ดีขึ้นคือเซลล์มะเร็งลดน้อยลงไปกว่าเดิม
- ลดความเสี่ยงของการกลับมาของโรค มีอัตราการรอดชีวิตดีกว่า และ อัตราผลการรักษาที่สูงกว่า
ประโยนชน์ด้านระยะเวลาการรักษา
- สามารถลดระยะเวลารวมของการรักษา
- ทำให้เกิดการติดตามที่ดีขึ้นเนื่องจากระยะเวลาการรักษาที่สั้นลง
- ลดความจำเป็นสำหรับการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด
ผมต้องขอจบสรุปประเด็นสำคัญที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้นำเสนอเกี่ยวกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน ชนิด ALL
ไว้ในตอนที่ 6 นี้นะครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วย ผู้ดูแล ผู้สนใจทั่วไปบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
ในตอนที่ 7 ผมจะเริ่มนำประเด็นและข้อมูลที่สำคัญ ของ โรค AML มาเล่าสู่กันฟัง โปรดติดตามอ่านกันนะครับ
CR: The owner of data and image.
สวัสดีครับเพื่อนๆผู้ป่วย ผู้ดูแล และผู้สนใจทั่วไป ตามที่ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้ หลังการสรุปภาพรวมโดยย่อของการประชุม ALAN Global Summit 2023 ครบทั้ง 3 วันแล้ว ผมจะค่อยๆทยอย โพสข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันทั้ง ALL และ AML ที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้นำเสนอในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งผมหวังว่าทุกท่านคงได้ติดตามอ่านกัน ตั้งแต่ตอนที่ 1-6เกี่ยวกับโรค ALL กันครบทุกตอนแล้วนะครับ ต่อจากนี้ ผมจะเริ่มนำข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับโรค AML มาเล่าสู่กันฟังต่อเลยนะครับ
ตอนที่ 7: มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแบบมัยอีลอยด์ (AML)

เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันอีกกลุ่ม ที่เกิดจากตัวอ่อนของไขกระดูก ชนิดเปลี่ยนเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ ที่ต่างจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL โดยมีการเจริญเติบโต รวดเร็วผิดปกติของเซลล์ตัวอ่อนเหล่านี้ จนเข้าไปแทน ที่เซลล์สร้างเม็ดเลือดปกติอื่นๆของไขกระดูก จึงส่งผลให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติได้ และยังลดการสร้างเม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดลงอีกด้วย อาการของโรคจึงเกิดจากความผิดปกติของทั้ง เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด
มะเร็งเม็ดเลือดขาว AML พบได้ประมาณ 15-20% ของผู้ป่วยเด็กทั้งหมดที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือด และจะพบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น AML จึงจัดเป็นโรคพบในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก (ในเด็กมักเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL) โดยพบสูงในอายุตั้ง แต่ 60 ปีขึ้นไป พบในผู้ชายบ่อยกว่าในผู้หญิง ทั้งนี้มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันในผู้ใหญ่ 80-90% จะเป็นชนิด AML
อะไรเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว AML ?
ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว AML แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น เด็กที่เป็นโรค Down’s syndrome, Fanconi’s anemia เป็นต้น ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ได้รับรังสีไอออนไนซ์ (Ionizing radiation) รังสีจากสารกัมมันตรังสี การสัมผัสารเคมีที่เป็นพิษ โดยเฉพาะกลุ่มของเบนซีน (Benzene)
มะเร็งเม็ดเลือดขาว AML มีอาการอย่างไร?
อาการทั่วๆไปที่พบบ่อย คือ มีไข้ โดยไม่รู้สาเหตุ มักเป็นไข้สูง อ่อนเพลีย ซีด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดข้อ ปวดกระดูก
อาการเกิดจากการทำงานของไขกระดูกผิดปกติ ภาวะซีด ทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย ซีด หน้ามืด เวียนศีรษะ และหัวใจเต้นเร็ว ในบางรายที่มีภาวะซีดมากอาจมีอาการหอบเหนื่อยและหัวใจวายได้
ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้ ติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย
มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้ผู้ป่วยมีเลือดออกผิดปกติที่ผิวหนังเป็นจุดแดงเล็กๆคล้ายในไข้เลือดออก
ตับและม้ามโต คลำได้ (ปกติจะคลำไม่ได้) พบได้ประมาณ 50% ของผู้ป่วย
ต่อมน้ำเหลืองโตตามบริเวณต่างๆในร่างกาย พบได้ประมาณ 25% ของผู้ป่วย
ในผิวหนัง ทำให้เกิดก้อนเนื้อที่ผิวหนัง มักเกิดได้หลายๆจุด และมีขนาดต่างๆ กัน ก้อนเนื้ออาจไม่มีสี หรือมีสีม่วงเล็กน้อย พบได้ในทุกอายุ แต่มักพบในเด็กแรกเกิด
ตอนที่ 8: แนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยดในผู้ใหญ่ (AML)
การรักษา AML ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ดังนี้
– Induction therapy การให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยได้ ภาวะโรคสงบอย่างสมบูรณ์ (complete remission)
– Post-remission therapy การรักษาผู้ป่วยที่ได้ complete remission ให้ได้ระยะเวลา CR ยาวนานขึ้น หรือทําให้โรคหาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จําเป็น
1. CBC, BUN, Cr, LFTs, uric acid, albumin, electrolytes, HBsAg, anti-Hbs,
anti-HBc, anti-HCV, anti-HIV, chest X-ray การตรวจดูปริมาณเซล์เม็ดเลือด การตรวจการทำงานของตับ ไต กรดยูริค เป็นต้น
2. Bone marrow aspiration/biopsy การตรวจเจาะไขกระดูก การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
3. Immunophenotype: Immunohistochemistry or flow cytometry ตรวจการทำงานของภูมิคุ้มกัน เช่น การวิเคราะห์เซลล์ด้วยการฉายแสงเลเซอร์ลงสู่เซลล์แล้ววัดการเรืองแสงที่เกิดขึ้น
4. Cytogenetics of bone marrow การตรวจทางพันธุศาสตร์ของไขกระดูก เช่น การตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม เป็นต้น
5. Molecular prognostic markers ตัวบ่งชี้การพยากรณ์ทางโมเลกุล เช่น การกลายพันธ์ของเซลล์
In normal karyotype
AML: FLT-3, NPM1
In t(8;21): C-kit
In APL: PML/RARA
6. Myocardial function: MUGA scan or echocardiogram ทําในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ เช่น
ผู้ชายสูงอายุ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และสูบบุหรี่ เป็นต้น
ปัจจัยที่ใช้พิจารณาในการรักษา ได้แก่
• อายุของผู้ป่วย
• ประวัติโรค myelodysplastic syndromes (MDS) มาก่อนหรือเป็น therapy-related AML
• ความผิดปกติระดับโครโมโซมของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว
• สมรรถภาพการทํากิจวัตรประจําวัน
• โรคร่วมที่สําคัญ
CR: the owner of data and image.
ตอนที่ 9: รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว AML อย่างไร ?

ในตอนที่ 8 ผมได้เขียนถึงภาพรวมๆของแนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันชนิดมัยอิลอยด์ (AML) ในตอนที่ 9 นี้ผมขอเพิ่มข้อมูลให้มากขึ้นกว่าเดิมสักหน่อยนะครับ
ในการดูแลรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว AML นั้น ต้องพิจารณาจากหลายๆปัจจัยร่วมกัน เช่น สภาพร่างกายทั่วๆไปของผู้ป่วย ปัจจัยต่อความรุนแรงของโรค ความร่วมมือของผู้ดูแลในการนำผู้ป่วยมาตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ การดูแลรักษาผู้ป่วยแบ่งได้เป็น 2 หลักสำคัญ คือ
การรักษาประคับประคอง เป็นการรักษาที่มีความสำคัญอย่างมากตั้งแต่ระยะแรก เพราะช่วงแรกที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยนั้น ผู้ป่วยมักมีความผิดปกติหลายอย่างในร่างกาย เช่น ซีด อ่อนเพลีย อาจมีเลือดออก มีไข้สูง มีอาการของโรคติดเชื้อ หาย ใจลำบาก ขาดน้ำ และ/หรือมีการทำงานของไตผิดปกติ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการรักษาภาวะวิกฤตต่างๆเหล่านี้ให้ผู้ป่วยมีสภาพร่างกายที่พร้อมก่อนการส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมที่จะให้การรักษาจำเพาะต่อไป เพราะการให้ยาเคมีบำบัดในระยะแรกนี้ ทำให้เกิดผลกระทบจากฤทธิ์ของยาเคมีบำ บัดได้หลายอย่างและอาจรุนแรง
การรักษาจำเพาะ เป็นการรักษาที่ใช้ยาเคมีบำบัดเป็นหลัก โดยมีการให้ยาเคมีบำ บัดที่ประกอบด้วยยาหลายชนิดให้ในขนาดและเวลาต่างๆกัน ซึ่งแบ่งการรักษาได้เป็น 3 ระยะ คือ
ระยะชักนำให้โรคสงบ (Induction of Remission) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งให้มากที่สุดในเวลาอันรวดเร็วที่สุด และทำให้ไขกระดูกสามารถกลับมาสร้างเซลล์เม็ดเลือดปกติได้เหมือนเดิมโดยเร็ว โดยมีหลักสำคัญ 2 ประการ ได้แก่
การใช้ยาต้านมะเร็งหลายชนิดร่วมกัน ซึ่งได้ผลดีกว่าใช้ยาอย่างเดียว
ขนาดของยาที่ใช้ต้องสูงพอที่จะทำลายเซลล์มะเร็งในไขกระดูกได้ดี แต่ขณะเดียวกัน ต้องลดโอกาสทำลายเซลล์ไขกระดูกปกติให้น้อยที่สุด
ระยะรักษาหลังจากโรคสงบ (Post-Remission or Continuation therapy) เป็นการรักษาเพิ่มเติมหลังจากโรคสงบ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคย้อนคืนกลับมาอีก ดัง นั้นจึงต้องให้การรักษาต่อไปอีก 2.5-3 ปี ในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นกับตารางการรักษาของแต่ละโรงพยาบาล เช่น
การรักษาเพื่อคงให้ไขกระดูกอยู่ในภาวะปลอดโรค (Maintenance Therapy) เป็นการให้ยาเคมีชนิดเดียวกับระยะชักนำให้โรคสงบ แต่ใช้ปริมาณยาน้อยกว่าแต่ให้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
การรักษาเพื่อควบคุมให้โรคทุกจุดสงบ (Consolidation Therapy) เป็นการให้ยาเคมีชนิดและปริมาณเหมือนกับระยะชักนำให้โรคสงบ แต่ให้ซ้ำๆในระยะเวลาสั้นๆ
การรักษาเข้มข้น (Intensification Therapy) เป็นการให้ยาเคมีบำบัดชนิดเดียวกับระยะชักนำให้โรคสงบแต่ใช้ปริมาณยามากกว่า หรือการให้ยาเคมีบำบัดชนิดอื่นๆที่ผู้ป่วยไม่เคยได้มาก่อน
ระยะป้องกันการเกิดโรคในสมอง (CNS Prophylaxis) เพื่อป้องกันการเกิดโรคในตำแหน่งที่ยาเคมีบำบัดเข้าถึงได้ยาก คือ สมองนั่นเอง ซึ่งอาจให้ยาเคมีบำ บัดเข้าทางน้ำไขสันหลัง หรืออาจฉายรังสีบริเวณสมอง ขึ้นกับวิธีการรักษาของแต่ละโรงพยาบาล
อนึ่ง ในผู้ป่วยที่รักษาจนโรคสงบแล้ว อาจมีโอกาสที่โรคย้อนกลับเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดธรรมดา มักได้ผลน้อย เพียงประมาณ 30-40% ดังนั้น จึงอาจมีการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone marrow Transplantation) ให้กับผู้ป่วยที่มีความรุนแรงโรคสูง เพื่อลดโอกาสการคืนกลับมาของโรค โดยอาจใช้ไขกระดูกของคนในครอบครัว หรือ ของคนอื่นๆที่มีสารพันธุกรรมที่เข้ากันได้กับผู้ป่วย (HLA compatible) ซึ่งเรียกวิธีการนี้ว่า “Allogeneic bone marrow transplantation” หรืออาจใช้ไขกระดูกของตัวผู้ป่วยเองหากไม่สามารถหาไขกระดูกจากผู้อื่นได้ ซึ่งเรียกวิธีการนี้ว่า “Autologous bone marrow transplantation”
การปลูกถ่ายไขกระดูก นอกจากใช้เป็นวิธีหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยที่โรครุนแรงแล้ว ยังอาจใช้เป็นวิธีรักษาในผู้ป่วยที่มีโรคย้อนกลับคืนมา ที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกมาก่อนก็ได้ แต่ทั้งนี้การปลูกถ่ายไขกระดูกไม่สามารถใช้รักษาได้ในผู้ป่วยทุกราย เพราะผู้ป่วยบางราย การรักษาอาจไม่ได้ผล และอาจก่อการติดเชื้อรุนแรง หรือ เลือดออกรุนแรงจนเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตจากการรักษาได้ ดังนั้น การรักษาโดยการปลูกถ่ายไขกระดูกจึงขึ้นอยู่กับ ชนิดของเซลล์มะเร็ง ความรุนแรงของโรค การดื้อต่อยาเคมีบำบัด อายุ สุขภาพผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์
CR: the owner of data and image
ตอนที่ 10: การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว AML มีผลข้างเคียงอย่างไร ?
ผลข้างเคียง (ผลแทรกซ้อน)จากการรักษาในแต่ละวิธีนั้นจะแตกต่างกันตามแต่ละวิธีที่ผู้ ป่วยได้รับรักษา และผลข้างเคียงอาจพบได้มากขึ้นหากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยหลายๆวิธีร่วมกัน
ผลข้างเคียงเฉียบพลัน ได้แก่ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นในช่วงรักษา คือผลข้างเคียงจากการให้เคมีบำบัด เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ผมร่วง การทำงานของตับผิดปกติ มีเม็ดเลือดขาวต่ำ (ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำจากเคมีบำบัดและ/หรือรังสีรักษา)
ผลข้างเคียงจากการให้รังสีรักษา คือ ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีบริเวณสมอง(ผลข้าง เคียงและวิธีการปฏิบัติตัวในการฉายรังสีบริเวณสมอง)
ผลข้างเคียงจากการปลูกถ่ายไขกระดูก เช่น มีเม็ดเลือดขาวต่ำมีโอกาสติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย และภาวะเกล็ดเลือดต่ำทำให้มีโอกาสเลือดออกผิดปกติได้ง่าย
ผลข้างเคียงระยะยาว ได้แก่ ผลข้างเคียงที่เกิดภายหลังครบการรักษาต่างๆแล้ว ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิตผู้ป่วย ซึ่งแพทย์ไม่สามารถทราบได้ว่า จะเกิดเมื่อไร และจะเกิดกับผู้ ป่วยคนใดบ้าง ได้แก่
ผลต่อระบบประสาท ที่เกิดจากการฉายรังสีที่สมองและให้ยาเคมีบำบัดทางน้ำไขสันหลังพบได้บ่อยที่สุด คือ พบว่า อาจมีระดับสติปัญญาต่ำลง มีอารมณ์แปรปรวนง่าย
อาจมีการเปลี่ยนแปลงทางระบบฮอร์โมนต่างๆ ที่พบบ่อย คือมีตัวเตี้ยกว่าปกติ หรืออาจเกิดโรคอ้วนได้ง่าย
มีโอกาสเกิดมะเร็งชนิดที่ 2 (มะเร็งชนิดใหม่อีกชนิดหนึ่ง) หรือ เนื้องอกของสมองได้ประมาณ 5-15% เมื่ออยู่รอดได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป
มีวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งเม็ดเลือดขาว AMLไหม ? ควรพบแพทย์เมื่อไร ?
ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองให้พบมะเร็งเม็ดเลือดขาวทุกชนิด รวม ทั้งชนิด AML ให้พบตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ดังนั้นเมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆดังกล่าว จึงควรรีบพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ
ป้องกันมะเร็งเม็ดเลือดขาว AML ได้อย่างไร ?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอเอ็มแอล แต่มีข้อแนะนำ เพราะอาจลดโอกาสเกิดโรคนี้ได้บ้าง คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับกัมมันตรังสี และสารเคมีเป็นพิษต่างๆ
CR: the owner of data and image